ยินดีที่ได้รู้จัก (อีกครั้ง)

ทำความรู้จัก มาย คนทำเพจและเขียน Wear it like a Man มาตั้งแต่เริ่มต้น กับมุมมองเรื่องสไตล์และแนวคิดในการแต่งตัวในยุคปัจจุบัน

ไหนๆเราก็หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ถือเป็นโอกาสดีให้เรามาทำความรู้จักกันอีกครั้ง ที่จริงผมก็ไม่เคยแนะนำตัวเองในเพจอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่ก็คงมีบางคนที่เคยมาเจอกันในงาน event หนังสือบ้าง หรือได้คุยกันผ่าน message ของเพจบ้าง เอาเป็นว่าขออนุญาตแนะนำตัวสั้นๆ จะได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น

ผมชื่อ มาย (ชื่อจริง นามสกุล คงไม่ต้องมั้ง) เกิดปี 1990 ก็นับอายุกันเอาเองแล้วกัน จะเรียกพี่ เรียกน้อง หรือเรียกชื่อเฉยๆก็ตามสะดวกครับ แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าเรียกผมว่าแอดมินเลย (ความไม่ชอบส่วนตัว ไม่มีเหตุผลประกอบ)

เริ่มทำเพจ Wear it like a Man มาตั้งแต่ปี 2013 ก่อนจะมาเขียนบนเวบนี้ในปีถัดมา ใครตามมาตั้งแต่เพจหลักร้อยกว่า like ก็คงรู้ว่าผมทำๆ หยุดๆ มาตลอด แต่ก็ไม่เคยหยุดไปยาวขนาดปีที่แล้ว ที่ผมต้องหยุดเพื่อไปโฟกัสกับงานหลักที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก นั่นคืองานทำเวบไซต์ ผมทำในส่วนของงานออกแบบ แต่อย่าเรียกว่า designer เลย รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งขนาดนั้น เพราะจริงๆก็ทำเป็นแค่ UI/UX design พวก graphic จะได้แบบง่อยๆ

อดีต

มีหลายคนถามว่าตอนนั้นคิดยังไงถึงมาทำเพจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้เป็นคนแต่งตัวเยอะแยะอะไร ผมขอเรียกว่า ชอบ แต่ไม่เคยจริงจังดีกว่า แต่เหตุผลจริงๆน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เราอยากจะทำงานเกี่ยวกับเวบไซต์มาสักพัก เราอยากใช้มันเป็นพื้นที่ให้เราได้ทดลองระบบ และเรียนรู้จากมัน เช่นพวก SEO อะไรทำนองนั้น เคยคิดถึงขนาดจะพัฒนาระบบ ecommerce กันเองด้วยซ้ำ แต่ก็ยั้งๆไว้ก่อน เพราะใช้เวลาค่อนข้างเยอะ และระบบที่มันมีตอนนี้ก็พอใช้งานได้อยู่แล้ว ตอนที่คิดจะเริ่มทำก็มานั่งเลือก topic ว่าเรื่องอะไรที่พอจะเขียนได้บ้าง คิดไปคิดมาก็มาจบด้วยเรื่อง menswear ที่ ณ เวลานั้นจำได้ว่ารู้จักแค่ The Preppist กับ Wardrobe Ministry เท่านั้น

จากแค่ ชอบ พอเริ่มอ่านเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลมาเขียน ก็เหมือนว่าเราจะยิ่งหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของมัน ทำให้ค้นพบว่า ถ้าเราสามารถนั่งอ่าน wikipedia เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้เป็นวันๆ แสดงว่าเราไม่ได้แค่ชอบมันแล้ว เรียกว่าบ้าเลยจะดีกว่า จาก wikipedia ก็ขยับมาเป็น blog เป็น online magazine หลังๆก็ลึกไปถึงพวก forum ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการรับข้อมูลจากสื่อเยอะๆ มันมีผลกับสไตล์ของเราอย่างมาก มันเหมือนกับเราถูกป้อนชุดข้อมูลมาว่าแต่งแบบนั้นดี เสื้อสีนั้นต้องใส่กับกางเกงสีนี้ อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันดีสำหรับคนเริ่มต้น แต่ผมว่ามันเป็นกับดักสำหรับคนที่อยากหาแนวตัวเองให้เจอ

ย้อนไปตอนนั้นเราเหมือนอยู่ในโหมด beta ทดลองนู่นนี่ไปเรื่อยตามที่อ่านมา ถ้าใครกลับไปดูรูปเก่าๆในเพจก็จะรู้สึกว่าผมแต่งตัวธรรมดามากๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แค่เข้าใจการเลือกสีมาใส่ ส่วนเรื่องคุณภาพ ผ้า คัตติ้ง ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มันค่อยๆเพิ่มเข้ามาระหว่างทางที่ทำเพจ ผมได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้จากการซื้อมากกว่าการอ่าน การได้ลอง ได้ใส่จริงๆมันทำให้รู้ว่าของเก่าที่เราเคยใส่มา และคิดว่ามันดีอยู่แล้ว มันก็ยังมีอะไรที่ดีกว่าเสมอ อย่าง Converse กับ Shoes Like Pottery นี่ค่อนข้างชัดมาก ตอนแรกก็ไม่คิดว่า Shoes Like Pottery มันจะดีกว่าอะไรขนาดนั้น จนกระทั่งได้มาใส่ ทั้งทรง วัสดุ ความทนทาน เหนือกว่าเยอะเลย

เวลาซื้อของมาใหม่สิ่งที่ผมมักจะทำคือจับมา head to head กับของที่มีอยู่ เพื่อดูว่ามันเหมือน มันต่างกันตรงไหน ทรง ฝีเข็ม แพทเทิร์นปก ความโค้ง ความยาวชายเสื้อ เทียบทุกอย่าง รู้สึกว่าการทำแบบนี้มันได้อะไรเยอะดี ได้รู้ว่าราคาที่สูงกว่า คุณภาพมันสูงตามไปด้วยหรือไม่ หรือถ้าคุณภาพการตัดเย็บมันพอๆกัน แล้วอะไรที่ทำให้ตัวนึงราคาสูงกว่าอีกตัว เสื้อบางตัวราคาสูงเพราะผ้าที่มี texture มีลายเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร บางตัวมีทรงที่ไม่ว่าใครทำตามก็ทำออกมาไม่เหมือน ผมสนุกกับการได้หาคำตอบอะไรพวกนี้ ผมมองว่าเราได้อะไรจากการเสียเงินซื้อทุกครั้ง อย่างน้อยก็รู้ว่าเราจะเสียเงินให้กับแบรนด์นี้อีกในครั้งต่อไปหรือไม่

ปัจจุบัน

ถึงตอนนี้ผมค่อนข้างเข้าใจตัวเองแล้วว่าเราอยากใส่อะไร ไม่ใส่อะไร และจะยอมเสียตังให้กับอะไรบ้าง แน่นอนส่ิงที่เราเลือกใส่มันคือสิ่งที่เราชอบ แต่สิ่งที่เราเลือกที่จะไม่ใส่ อาจไม่ใช่เพราะเราไม่ชอบ แต่มันแค่ไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเราเท่านั้น ผมเป็นคนที่ชอบเสื้อผ้าพวก tailored แต่ก็แทบไม่ได้ใส่เลย เพราะรู้สึกว่าการใส่พวกนี้ในชีวิตประจำวันมันไม่ใช่ตัวผม สไตล์ผมเลยหนักไปทาง casual ที่ออกไปทาง rugged บ้าง tailored ปนๆมาบ้าง

ผมชอบแต่งอะไรที่รู้สึกว่าไม่ต้องคิด คือเราคิดเยอะตอนซื้อแล้วไง มันเลยทำให้ผมสามารถมิกซ์ของแทบทุกชิ้นในตู้ได้อย่างชิวมาก เพราะมันแทบจะเข้ากันทุกตัว แล้วมันจะออกมาเป็นสิ่งที่เราเป็นตัวเราตลอด อยากให้ลองเอาแนวคิดนี้ไปลองใช้กันดู คือซื้อของหนึ่งชิ้นต้องมั่นใจว่ามันจะใส่กับเสื้อผ้าได้เกิน 3/4 ของเสื้อผ้าในตู้ รวมถึงรองเท้าด้วย พูดง่ายๆคือพวกที่ซื้อมาแล้วจับคู่เสื้อกับกางเกงได้ชุดเดียวนี่ผมปัดตกหมด (ยกเว้นพวกสูทนะ)

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะหลีกเลี่ยงอย่างมากคือ การซื้อเสื้อผ้าเพื่อเก็บ ผมไม่ใช่นักสะสม แล้วไม่คิดจะเป็นด้วย ของทุกอย่างมันถูกออกแบบมาให้เราใช้งาน เก็บไว้ บางทีก็เสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิมอีก มันเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่เสื้อผ้าตัวนึง ซื้อมาแล้วมันได้อยู่แค่ในตู้เท่านั้น เพราะเสน่ห์ของเสื้อผ้าหลายๆชิ้นเราจะสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อมันผ่านการซัก ผ่านการใช้งานมาแล้วเท่านั้น

อนาคต

คิดว่าเรายังมีหลายอย่างที่เรายังอยากลองอยู่ ที่ผ่านมาเราลองอะไรกว้างๆมามากพอแล้ว ต่อไปคงต้องลงไปทางลึกบ้าง อยากลองแบรนด์ที่ “เขาว่ากันว่าดี” หลายๆแบรนด์ และแบรนด์ใหม่ๆที่ตรงกับตัวเรา คราวนี้คงต้องยอมเสียตังเพื่อแลกกับความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆหน่อย

ผมชอบที่ fashion มันหมุนเร็ว มันดีเพราะเรามีโอกาสได้เห็นสิ่งใหม่ๆเร็วขึ้น แต่เราเลือกได้ที่จะหมุนตามด้วยความเร็วเท่าไหร่ไง เราต้องยอมรับว่าไม่มีใครไม่เปลี่ยน ไม่มีใครหยุดนิ่งได้จริงๆหรอก ในโลกที่สื่อและโซเชียลมีอิทธิผลกับการใช้ชีวิตของเราแบบนี้ สไตล์ของผมก็คงเปลี่ยนไปเรื่อยๆเหมือนกัน แต่คงไม่ได้เร็วขนาดที่ว่าปีก่อนยังใส่ Red Wing ปีนี้หันมาใส่ NMD แน่นอน

อีกอย่างที่คิดไว้ว่าอยากทำมากๆ คือพยายามลดเสื้อผ้าในตู้ให้มันเหลือเฉพาะที่ใส่จริงๆ อะไรที่เราเคยซื้อมาแล้ว ฟิตเล็กไปบ้าง สีที่เราใส่ได้น้อยบ้าง ก็จะไม่พยายามฝืนเก็บไว้เผื่อจะได้ใส่ คงหาทางปรับให้เอาออกมาใส่ได้อย่างที่ผมเอาเสื้อเชิ้ตไปเปลี่ยนปก หรืออาจจะเอาออกมาขายถูกๆ ใคร size ใกล้ๆผมแจ็คเกต 36R เสื้อเชิ้ต 15/38 เอว 30 รองเท้า 9US รอติดตามได้เลย

––

สุดท้าย ถ้าอยากรู้จักกันมากขึ้นกว่านี้ ก็มา follow ผมแล้วกัน @piyasil แต่บอกก่อนว่าผมลงรูปค่อนข้างหลากหลาย ไม่ได้เกี่ยวกับเสื้อผ้าอย่างเดียว ยิ่งใน Story ใครที่ตามดูอยู่จะพอรู้ มีทั้งกาแฟ พวกของ outdoor รูปไปเที่ยวบ้าง ถ้าชอบอะไรพวกนี้เหมือนกันก็ทักมาคุยกันได้

words by
Published on