คงไม่มีใครปฏิเสธความนุ่มสบายเมื่อสวมใส่รองเท้าประเภทนี้ได้ แน่นอนว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทกมากกว่าการเดินปกติ และมันต้องเบาเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วยิ่งขึ้น เทคโนโลยีต่างๆถูกพัฒนาขึ้นมากมายเพื่อให้การวิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายเท่าไหร่นัก เมื่อเราซื้อรองเท้าวิ่งเพื่อมาใส่เดิน เพราะมันได้ถูกจำกัดความใหม่ว่าเป็นหนึ่งในรองเท้าแฟชั่นไปซะแล้ว
เมื่อมีคำว่า fashion และ style เข้ามาเกี่ยวข้อง อะไรๆที่เคยดูเชยก็กลับมาดูเท่ ดูดีได้หมด มันถูกออกแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มใหม่ คนที่หยิบรองเท้าเหล่านี้มาใส่กับชุดสูทลำลอง คนที่ซื้อของโดยใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผล และคนที่ซื้อรองเท้าวิ่งแต่ไม่เคยใส่ไปวิ่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้าถามว่าจะเลือกยังไงดี ผมคงจะแนะนำให้ กลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าดูก่อน โดยปกติแล้วเวลาผมเลือกเสื้อผ้า ผมจะพยายามเลือกเฉพาะชิ้นที่มันสามารถเอามาใส่กับเสื้อผ้าที่มีอยู่เดิมได้หลากหลาย อย่างน้อยก็ใส่ได้เกินครึ่งหนึ่งของตู้เสื้อผ้า เพราะมันช่วยประหยัดเวลาในการคิดว่าจะใส่ชุดอะไรไปได้เยอะ หยิบอะไรมาใส่มันก็เข้ากันได้ ไม่ต้องเลือกเยอะ ไม่ต้องคิดเยอะ โทนสีจึงเป็นเรื่องแรกที่ผมสนใจ ส่วนสไตล์กับคุณภาพค่อยตามมาทีหลัง และนี่ก็เป็น 8 คู่ 8 แบรนด์ที่ผมเลือกมาแนะนำ
––
The Heritage
รองเท้าก็คงไม่ต่างกับยีนส์ เมื่อเราอยู่ในยุคที่ความเก่าขายได้ แบรนด์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ผลิตรองเท้ามาตั้งแต่สมัยยุคสงครามโลก ก็พยายามไปเปิดไปค้นเอาแบบเก่าๆที่เคยผลิตมาปัดฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นยุค 70’s, 80’s ก็เลือกหยิบกันมาทำใหม่ แล้วตั้งชื่อให้ดูเท่ขึ้นไปอีกว่า Heritage Collection
Diadora Trident
80’s inspired, suede upper
ผมชอบสีตุ่นๆของ Diadora Heritage มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรุ่น Trident 90 ที่ออกมาในคอลเลคชั่นที่แล้ว ส่วนรุ่นที่แนะนำนี้เป็นรุ่นรองลงมา แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ลงเลย ผมชอบเส้นที่โค้งเว้ารับกันได้อย่างลงตัว สีของพื้นที่ทำมาพิเศษเพื่อให้ดูเก่าตั้งแต่เริ่มใส่ Diadora อาจจะเป็นแบรนด์ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจนัก แต่คู่นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Diadora ก็มีดีไม่แพ้ Reebok หรือ New Balance เลย
มีขายที่ Diadora webstore
Walsh Seoul 88
Cordura + suede upper, low-profile Made in England
Walsh โด่งดังจากการทำรองเท้าวิ่งมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้เลยจนกระทั่งไปเจอเข้าที่ร้าน select shop หลายแห่งในญี่ปุ่น การออกแบบของ Walsh ก็พยายามคงลักษณะของรองเท้าวิ่งที่ใช้สำหรับแข่งขันไว้ ในแต่ละรุ่นต่างกันไม่มากนัก คู่ที่ผมเลือกมานี้เป็นรุ่นที่ Walsh ออกแบบให้กับนักวิ่งของอังกฤษใส่ฝึกซ้อมใน Olympic Games ปี 1988 ที่กรุงโซล โดยใช้ Cordura nylon และหนังกลับมาทำ ชอบตรงที่มีป้ายธง Union Jack เล็กๆติดอยู่
มีขายที่ Walsh webstore (Free worldwide delivery)
Nike Waffle Racer
Suede + nylon upper, rubber sole, nylon laces
ถ้านึกถึง Nike vintage บางคนอาจจะนึกถึง Internationalist ที่คล้ายๆกับ New Balance แต่ผมจะนึกถึงคู่นี้ก่อน คู่นี้เคยผ่านตาผมหลายครั้งใน J.Crew จุดเด่นมันอยู่ที่พื้นรองเท้าที่เป็นปุ่มๆที่เรียกว่า Waffle มันเป็นรองเท้าวิ่งที่เอามาใส่เดินเล่นแล้วก็ยังดูไม่เทอะทะ ถ้าให้ผมเลือกรองเท้าแบบ low-profile คู่นี้ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน
New Balance 1400
Suede upper, removable footbed, Made in USA
New Balance น่าจะเป็นแบรนด์เดียวที่คงเส้นคงวากับการออกแบบที่ดูวินเทจมาตลอด ผมเลือก 1400 มา เป็นอีกคู่ที่ผมเลือกมาจาก J.Crew NB 1400 เป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก 1300 ซึ่งมาขายในตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น ในญี่ปุ่นเองมีวางขายทุกปี หมดเร็วทุกปี ผมชอบความเพรียวเมื่อมองจากด้านข้างมาก แต่จริงๆแล้วถ้ามองจากด้านบนมันจะไม่ได้ดูหัวเรียวเหมือนด้านข้างนะครับ มันจะดูเหลี่ยมๆหน่อยด้วยซ้ำ
มีขายที่ Next To Normal (Central World), New Balance Shop, J.Crew
––
The Re-thought
แบรนด์อีกกลุ่มหนึ่งเป็นพวกที่มองเห็นเทรนด์ เห็นโอกาส เลยมาเข้ามาจับตลาดนี้ ส่วนใหม่ก็จะเป็นแบรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดมาได้ไม่นาน ต้องพยายามหาลูกเล่น ดึงจุดขายกันออกมา โดยรวมแล้วคอนเซปและการออกแบบก็ไม่ได้หนีกันมาก ยังมีความคล้ายกันอยู่เยอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าแบรนด์พวกนี้ทำออกมาได้ดีกว่าพวก Heritage Collection จริงๆมันมีแบรนด์แบบนี้อีกเยอะมากๆ แต่ผมขอเลือกมาแค่ 4 แบรนด์
Spalwart Marathon
Airbag + suede upper, waffle sole, Made in Slovakia
คู่นี้เป็นคู่ที่ผมเล็งมานาน แต่ก็ได้แต่เล็งเพราะราคารุนแรงเหลือเกิน หลายคนไม่รู้ว่า Spalwart มีรุ่นนี้ ส่วนใหญ่จะเคยเห็นกันแค่ทรง low ที่เหมือนรองเท้าทหาร ความพิเศษของ Marathon คือการใช้วัสดุที่ใช้ทำ airbag มาผลิต คล้ายๆกับกระเป๋า Freitag เลยครับ และอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจมากกว่าคู่อื่นๆคือการที่รองเท้านี้ผลิตจากโรงงานทำรองเท้าเก่าแก่ในประเทศ Slovakia โดยใช้หุ่นเท้า และเครื่องจักรเก่าที่เคยใช้ผลิตรองเท้าในยุค 70’s ในคอลเลคชั่นนี้มีสี Army ออกมาใหม่ แต่ด้านบนจะเป็นแบบ mesh แทน
มีขายที่ Pronto สาขา Central Embassy
Buttero
Suede upper, Vibram sole, Made in Italy
อีกหนึ่งคู่จากแบรนด์สัญชาติอิตาลีที่เชี่ยวชาญในการผลิตรองเท้าโดยใช้หนังในทุกส่วนๆ แม้แต่เชือกรองเท้า การก้าวเข้ามาเล่นในกลุ่มรองเท้าวิ่งก็ไม่ทำให้ Buttero เสียความเป็น Buttero แต่อย่างใด การออกแบบยังคงทำได้เรียบหรูเช่นเคย Buttero มักจะใช้เส้นสายบนรองเท้าน้อยมาก แต่ก็เพิ่มลูกเล่นอย่างอื่นเข้าไปแทน เช่น คู่นี้ก็ทำให้เส้นเป็น rib นูนออกมา ถึงมันจะดูเทอะทะไปหน่อย แต่ด้วยสีและวัสดุคุณภาพสูงเป็นตัวการันตีว่าคู่นี้ใส่มาแล้วดูมีสไตล์ได้ไม่ยากเลย
มีขายที่ Siam Paragon (แผนกรองเท้าผู้ชาย)
Suvsole
Suede upper, leather lining, Vibram sole
Suvsole เพิ่งผ่านตาผมมาไม่นานจาก Instagram ของ Journal Standard ตอนแรกก็รู้สึกว่ามันดูสวยดีนะ แต่ดูไปดูมาตอนนี้รู้สึกว่ามันเหมือนการยำเอา design ของทุกคู่ด้านบนมาอยู่ในคู่เดียว ก็เป็นอีกคู่ที่น่าสนใจเหมือนกัน ไม่มีขายในไทย และที่อื่นก็ไม่ค่อยเห็นขายที่ไหน สรุปคือแบรนด์นี้ยังใหม่มากๆ แต่ถ้าดูจากการออกแบบ ก็น่าลองครับ ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องคุณภาพของวัสดุแล้วว่าจะดีขนาดไหน
มีขายที่ HBX Store, Journal Standard
Hender Scheme
Vegetable-tanned leather upper, Made in Japan
ถ้าใครเคยใส่เข็มขัดหนังหรือใช้กระเป๋าหนังฟอกฝาดมากก็จะรู้คุณสมบัติของหนังชนิดนี้ดี ก็คือสีมันจะค่อยๆเข้มขึ้นตามการใช้งานของเรา ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครบ้าเอาหนังนี้มาทำรองเท้า แต่ Hender Scheme ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความเจ๋งของหนังฟอกฝาดเมื่อไปอยู่บนรองเท้ามันเป็นอย่างไร โดยส่วนตัวผมไม่ได้อินกับแบรนด์นี้เท่าไหร่ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ได้มีการออกแบบอะไรใหม่ มันคือ New Balance ที่ทำจากหนังฟอกฝาด แค่นั้น จบ แต่ก็คงเพราะลูกเล่นนี้ไม่มีใครคิดจะทำมาก่อนกลับทำให้ Hender Scheme โด่งดังขึ้นมาอย่างมาก ส่วนเรื่องราคา อย่าไปสนใจมันเลยครับ
––
ทั้งหมดนี้ก็เป็นรองเท้าวิ่งในสไตล์ของผม ผมชอบสีเรียบๆ มันใส่ได้หลากหลายกว่า จริงๆแล้วบางรุ่น บางยี่ห้อมันก็มีสีสันเยอะ แต่ผมเลือกมาแต่โทนที่ผมชอบ ใครชอบทรง ชอบรายละเอียดแบบไหน ลองเข้าไปดูใน store หรือ search ดูเพิ่มเติมเองนะครับ
